ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อัตโนมัติคือไม่มี

๑๔ พ.ย. ๒๕๕๒

 

อัตโนมัติคือไม่มี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ประเด็นแย้งด้วยเรื่องอภิธรรม เรื่องสมาธิ ฌาน จิตเกิดดับ และข้อสันนิษฐานที่มาของปัญญาอัตโนมัติ (จากธรรมะหลวงตาปี ๔๖)

เวลาเราพูดถึงเรื่องปัญญาว่า การฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ เราบอกเลยว่าอัตโนมัติคือไม่มี ในพระพุทธศาสนามีที่มาที่ไป เรื่องปัญญาอัตโนมัติไม่มี ดูอย่างเครื่องบิน เครื่องบินจอดอยู่ที่พื้น แล้วบอกว่าจะเป็นอัตโนมัติที่เครื่องบินไปลอยอยู่บนอากาศ ขณะที่เครื่องบินอยู่ที่พื้น การจะบินขึ้นของเครื่องบิน มันต้องมีการแท็กซี่การขึ้นของเครื่องบิน แล้วเครื่องบินที่ขึ้นไปบนอากาศจะไต่ระดับขึ้นไปอยู่ที่ชั้นไหน ความสูงเท่าไหร่ ไม่มีหรอกที่ว่า อัตโนมัติคือเครื่องบินจอดอยู่กับพื้น แล้วอยู่ๆ มันก็ไปลอยอยู่บนอากาศเป็นอัตโนมัติ ไม่มี ไม่มีหรอก เครื่องบินมันต้องขึ้นไปตามแต่ชนิดของมัน เช่นเฮลิคอปเตอร์ก็ต้องขึ้นด้วยใบพัด ไปในทางดิ่ง อัตโนมัติคือไม่มี ฉะนั้นเราบอกว่าปัญญาเป็นอัตโนมัติไม่มี

เขาเลยบอกว่า “แย้งด้วยปัญญาอัตโนมัติของหลวงตา”

นี่อยู่ในเว็บหมดนะ หลวงตาท่านก็เทศน์มาเรื่อย “ทีนี้เวลากิเลสเหล่านี้ทำงานอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัติคืออะไร เห็นอะไรปั๊บนี่เป็นกิเลสไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลสนะ ได้เห็นก็ดีได้ยินก็ดี คิดปรุงแต่งเรื่องอะไรก็ดี เป็นกิเลสขึ้นมาวันยังค่ำ เราไม่รู้ว่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ทำงานเองโดยอัตโนมัติ ทีนี้พอเราบำเพ็ญธรรมะแก่กล้าเข้า จนกระทั่ง เอ้า เราสรุปเลยนะ”

เห็นไหม “เราสรุปเลยนะ” นี่ท่านตัดแล้ว

“เราสรุปเลยนะ เมื่อก้าวเข้าไปด้วย สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ก็เริ่มเป็นอัตโนมัติและเป็นอัตโนมัติไปตามๆ กัน ทีนี้ตามทันกิเลสเรื่อยๆ อยู่ที่ไหนอิริยาบถใด แต่ก่อนมีแต่กิเลสทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับสนิทเท่านั้น นอกจากนั้นกิเลสทำงานทั้งมวล ทีนี้เมื่อธรรมทำงานก็แบบเดียวกัน ธรรมมีกำลังแล้วออกทำงานแก้กิเลสไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน เว้นแต่หลับ จิตนี้จะหมุนเพื่อฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดาเป็นอัตโนมัติของตน จนกระทั่งสุดท้ายท่านเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติที่ทำงานของตนด้วยสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว ยังก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาอัตโนมัติอีก อันนี้ซึมไปเลย สติปัญญานี้ซึมไปเลย ผู้ไม่ปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็น ต้องเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น พูดได้อย่างฉะฉานอาจหาญชาญชัยไม่สงสัยอะไรเลย”

“พอถึงขั้นนี้แล้ว กิเลสนี้ไม่มีตัวไหนที่จะอยู่รอได้ ตั้งแต่เริ่มสติปัญญาอัตโนมัติ กิเลสก็สร้างตัวไม่ได้แล้ว มีแต่จะหลบจะซ่อนจะหมอบ ไม่อย่างนั้นจะถูกทำลายด้วยสติปัญญาอัตโนมัติจนได้นั่นแหละ ทีนี้กิเลสจะตั้งขึ้นมาเป็นกิเลสตัณหาเหมือนอย่างแต่ก่อน มากน้อยตั้งไม่ได้ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติก้าวสู่ความฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตนเองแล้ว กิเลสมีที่หมอบที่หลบที่ซ่อนแล้วฆ่าไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าธรรมทำงานอัตโนมัติบนหัวใจเรา แก้กิเลสอัตโนมัติ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นสุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุขึ้นมาเท่านั้นแหละ ทีนี้ว่างเลย ว่างหมดเลยไม่มีอะไรมาติดขัดข้อง เราก็ไม่ติด เขาก็ไม่ติดอะไรเลย” นี่เขาพูดถึงปัญญาอัตโนมัติของหลวงตา

คำว่าปัญญาอัตโนมัติของหลวงตา มันมีที่มาที่ไปไง คำว่าอัตโนมัตินี้ มันเหมือนเครื่องยนต์ นาฬิกาออโตเมติกอัตโนมัตินี่มันต้องมีตัวนาฬิกาไหม เพราะเขาประกอบขึ้นมาเป็นนาฬิกาใช่ไหม มันสมบูรณ์ของมันแล้วมันถึงเป็นอัตโนมัติใช่ไหม เขย่ามันก็เดินใช่ไหม แล้วตอนไปเอาส่วนประกอบจะมาประกอบเป็นนาฬิกาล่ะ คำว่าอัตโนมัติของหลวงตามันมีที่มาที่ไปไง กิเลสเป็นอัตโนมัติ แต่ก่อนที่ปัญญาจะเป็นอัตโนมัติต้องฝึกสติเห็นไหม ทำความสงบก่อน ต้องมีความสงบ ฝึกสติแล้วหัดฝึกปัญญา ฝึกปัญญามันก็ยังไม่เป็นอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัตินี้หมายถึงว่า มันเป็นกิริยา เป็นสิ่งที่มันมีของมัน แล้วบอกว่าเปรียบเหมือนอัตโนมัติ

แต่ที่เขาบอก คำว่าอัตโนมัติคือไม่มี เพราะเวลาของเขาพูด เขาบอกว่าดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ พอมารวมลงแล้วมันจะเป็นโดยอัตโนมัติ มันอัตโนมัติตรงไหน อัตโนมัติอย่างนั้นคืออัตโนมัติไม่มีไง แต่ถ้าอัตโนมัติอย่างนี้ อัตโนมัติเห็นไหม เราบอกว่า คนที่เป็นพูดคำเดียวกัน คนที่เป็นพูดถูก คนที่ไม่เป็นพูดผิด พูดผิดเพราะว่าคำว่าอัตโนมัติของหลวงตามันมีเหตุมีผลไง คือผลของมันที่เป็นอยู่ มันเป็นกิริยาที่ใช้อยู่ คือสมมุติเรียกชื่อว่าอัตโนมัติ แต่มันมีที่มาที่ไป แต่ถ้าคนไม่เป็น คำว่าอัตโนมัติคือมันเป็นเอง คำว่าเป็นเองนี่เราถึงบอกว่า อัตโนมัติไม่มี ปัญญาฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มี แต่โดยคำว่าอัตโนมัตินี้มันเป็นคำกิริยา เป็นคำบอกชื่อไง เห็นไหม พูดคำเดียวกัน คนหนึ่งถูก คนหนึ่งผิด เพราะหลวงตาเวลาท่านพูดของท่าน ท่านจะบอกว่าเริ่มต้นต้องตั้งสติก่อน กำหนดพุทโธก่อน แล้วพยายามทำของเราไป ฝึกฝนบ่อยๆ เข้าจนปัญญามันหมุน เห็นไหม ธรรมจักรมันหมุน หมุนติ้วๆๆๆ นี่อัตโนมัติหรือยัง หมุนติ้วๆๆ นะ คำว่าอัตโนมัติมันก็ยังมีที่รองรับนะ คือว่าต้องมีสติมีสมาธิรองรับ มันถึงจะเป็นไป

ถ้าสมาธิกับสติเสื่อม อย่างเช่นเวลาท่านบอกว่าท่านติดสมาธิ ๕ ปีเห็นไหม หลวงปู่มั่นถามนะ หลวงปู่มั่นถามว่า “มหา จิตเป็นอย่างไร” “โอ้ยดีครับ” นั่นคือคิดว่ามันหมดแล้วไง “มันดีอย่างไร ไอ้ความสุขอย่างนี้มันความสุขเศษเนื้อติดฟัน” พอเศษเนื้อติดฟัน “ถ้าสุขเศษเนื้อติดฟัน แล้วสัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ” “สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ แต่สัมมาสมาธิของท่านมันมีตัณหา มีสมุทัย” อันนี้มันไม่สะอาดไง เพราะด้วยเหตุด้วยผลก็เลยได้ออกมาใช้ปัญญา

นี่ไงพอปัญญาเป็นอัตโนมัติ มันใช้ปัญญาแล้ว เพราะติดสมาธิมา ๕ ปี กำลังมันมีสูงมาก เพราะปัญญาโดยอัตโนมัตินะ หมุนติ้วๆๆ เลย ทุกข์สิ ทุกข์นะ ก็มันไม่ได้นอน มันไม่ได้พัก ทำงานตลอด อัตโนมัตินี่ทุกข์ไหม ทุกข์น่าดูเลย ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นอีกแล้วนะ หลวงปู่บอกว่าให้ใช้ปัญญาก็ใช้ปัญญา ตอนนี้ก็ใช้ปัญญาแล้ว ปัญญาหมุนติ้วๆๆ เลยไม่ได้นอนเลย นี่ปัญญาโดยอัตโนมัติ ไม่นอนเลย แล้วให้ทำอย่างไร “นี่ไอ้บ้าสังขาร” “อ้าว ถ้าบ้าสังขาร ถ้าไม่ใช้ความคิดมันก็ฆ่ากิเลสไม่ได้นะสิ” “นั่นแหละมันบ้าสังขาร!” นี่อัตโนมัติ “ไอ้บ้าสังขาร!!” นี่อัตโนมัติ

พออัตโนมัติปั๊บกลับมาพุทโธๆ เลยนะ มันไปไหนไม่รอดแล้ว มันไปไม่ได้ ขึ้นไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ก็ไล่ลงมา ไอ้จะมาทำอะไรเองมันก็ไม่ได้นอน มันก็เพลียมาก ก็กลับมาพุทโธๆ นี่อนาคามรรคนะ พุทโธๆ ยังต้องตะโกนที่ปากเลย ท่านบอกเหมือนเด็กๆ เลย เหมือนผู้ฝึกใหม่เลย พุทโธๆๆๆ เพื่อให้จิตมันพัก พอมันพักแล้วถ้ามันปล่อยนะ จะวิ่งเข้าหางานเลย ปล่อยไม่ได้เลยนะ ต้องสติ พุทโธๆๆ ปล่อยพรวดไปเลย

อัตโนมัติ อัตโนมัติจะเกิดจะฆ่ากิเลส ไม่มีทาง!! อัตโนมัติอย่างนั้นเป็นอัตโนมัติไม่มีที่มาที่ไป

อัตโนมัติอย่างนี้เพราะงานมันหมุนเห็นไหม “กิเลสมันเกิดโดยอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัติคืออะไร คือเห็นปุ๊บมันก็เป็นกิเลสแล้ว” กิเลสกับเรามันอันเดียวกัน มันอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว มันติดขัดของมันไปแล้ว ทีนี้พอปัญญามันหมุนมาๆๆ ขณะมันเร็ว มันก็ทันกันไง โธ่หลวงตาเวลาเทศน์กับพระนะ ท่านบอกว่า “ความขยันหมั่นเพียร” คำนี้พูดแล้วมันสะเทือนนะ เพราะในพระไตรปิฎกก็มี พระสารีบุตรไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า “ความเพียรกล้าเกินไป” พระพุทธเจ้าบอกไม่อยากเทศน์เลย เพราะเทศน์แล้วพระมันจะเข้าข้างตัวเองไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ที่พูดว่าบางอย่างมันกล้าเกินไปมันต้องรั้งไว้ นี่ก็เหมือนกัน พอปัญญามันไปเต็มที่แล้วต้องตั้งสมาธิรั้งไว้ ให้มันได้พัก ให้มันสมดุลของมัน ถ้าไม่สมดุลของมัน มรรคสามัคคีไม่ได้ มรรครวมตัวไม่ได้ พวกนี้ไม่รู้จัก พวกนี้ไม่เคยเห็นการทำงานของจิต ไม่เห็นกระบวนการของมัน เราถึงถามหากระบวนการของมันไง กระบวนการของมันมาอย่างไรมันถึงฆ่ากิเลส กระบวนการของมันไม่มีถึงเกิดเป็นอัตโนมัติไง

คนที่ตอบอัตโนมัตินี่เพราะมันไม่มีกระบวนการของมัน แต่คนที่ตอบอัตโนมัติอย่างหลวงตา ท่านพูดเองกับพระนะ “ไอ้การกระทำของเราตอนนั้นที่ทำอยู่ มันก็เป็นบ้าอันหนึ่ง” เป็นบ้าอันหนึ่งนะ สติปัญญา ความวิริยะอุตสาหะก็เป็นความบ้าอันหนึ่ง คือความจงใจความตั้งใจก็เป็นบ้าอันหนึ่ง แต่! มันถูกนะ ท่านพูดประจำ มันถูกนะ มันถูกขณะนั้น ขณะที่เป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนั้น

เราได้เนื้อสันมา ๕ กิโล แล้วเราจะเอามากิน เราจะกินดิบๆ อย่างนั้นได้ไหม เราก็ต้องเอามาทำอาหารใช่ไหม เราต้องเอามาแปรรูปใช่ไหมมันถึงจะเป็นอาหารขึ้นมาได้ อันนี้ก็เหมือนกัน ขณะที่เราจะแปรรูป เราจะทำให้เป็นอาหารขึ้นมาได้ เราต้องมีการกระทำ จิตที่มันตั้งใจมันจงใจ มันก็เหมือนการแปรรูป การกระทำนี่มันต้องมีของมัน ไม่อย่างนั้นเนื้อนี่จะเอามากินไม่ได้หรอก เนื้อสันชิ้นนั้นจะเอามาเป็นประโยชน์ มันจะเน่าอยู่นั่น จะเอามาทำอะไร มันคับหม้อมันใหญ่ มันจะเอามาทำอะไรก็ไม่ได้ มันต้องขึ้นเขียงมันต้องเฉือนต้องหั่นให้ออกมาเป็นชิ้น เพื่อจะเอามาทำเป็นอาหาร

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทำนั้นถูกไหม ถูก โห เนื้อก้อนตั้งเบ้อเร่อเลย ตัดทำไมล่ะ เสียของ ห้ามแตะเลยนะ ถนอมมันไว้เลย แล้วเอ็งจะได้กินไหม เอ็งจะไม่ได้กินอะไรเลย เอ็งต้องแปรรูปมัน ต้องแบ่งต้องทำออกมาถึงจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม นี่ไงคราวนี้ทำผิดไหม ที่ทำนี่ไม่ผิด แต่ขณะที่ทำมาแล้วมันจะได้อะไร นี่ก็เหมือนกัน ท่านพูดเลยนะ “มันก็เป็นบ้าอันหนึ่ง” การตั้งใจการกระทำของท่านตอนนั้นมันก็เป็นบ้าอันหนึ่ง นี่ไงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถึงเวลาแล้วเราต้องปล่อยวางมันมา แต่จะอนัตตาเลยก็ไม่ใช่ ต้องสร้างมันขึ้นมาก่อน แล้วมันจะมีกระบวนการของมันมาจนถึงที่สุดมันจะปล่อยของมันไป มันเป็นอีกชั้นหนึ่ง

ฉะนั้น คำว่าอัตโนมัตินะ ๑.มันจะต้องมีที่มาที่ไป ๒.เวลาพูดนะ ถ้าคนเป็นเห็นไหม อย่างเช่นเนื้อสัน คนได้มาแล้วเนื้อสันนี้มีคุณภาพขนาดไหน แล้วจะเอามาทำประโยชน์อะไร ถ้ามีเนื้อสัน มันต้องมีการกระทำของมัน มันถึงจะเป็นของมัน แต่นี่ไม่มีการกระทำนะ อย่างเช่นเวลาที่เขาพูดเห็นไหม ถ้าคนเป็น เหมือนคนเป็นแม่ครัวนี้เขาจะรู้หมดว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ฉะนั้นถ้าคนไม่เป็นนี่เป็นอัตโนมัติไง สติไม่ต้องทำ นี่มันค้านกันตรงนี้ สติไม่ต้องทำมันจะเป็นเอง เนื้อสันไม่ต้องไปซื้อมา ไม่ต้องไปหามา เดี๋ยวมันลอยมาจากฟ้า เนื้อสันมันทำอะไร มันเป็นเองเห็นไหม นี่มันขัดแย้งกัน สติไม่ต้องทำ ทำผิดหมด เผลอปั๊บมาเอง

แล้วไอ้พวกที่กำหนดพุทโธ ไอ้พวกที่ไปหาเนื้อสัน ไอ้พวกที่ไปตลาดไปซื้อของ พวกนี้ผิดหมด พวกนี้เห็นแก่ตัวพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไปตลาดนี่ใช้ไม่ได้ เพราะอะไร มันไปตลาดมันไม่ภาวนา มันต้องอยู่บ้านภาวนา มันไปตลาดทำไม พุทโธ พุทโธ นี่ไง พุทโธๆ มันจะเสียหาย พุทโธๆ ทำพุทโธมาจนตายแล้วไม่ได้อะไรเลย ทำพุทโธไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เขาจะไปซื้อของเขามาทำประโยชน์ พุทโธไม่ได้ นี่อัตโนมัติไง

คำว่าอัตโนมัติ มันไม่มีเหตุมีผล ไม่มีที่มาที่ไป แต่พวกเรานี่พุทโธๆๆ เห็นไหม ถ้าเราไม่ไปตลาด เราก็ทำเครื่องดักเพื่อจะเอาอาหารนั้นมากิน พุทโธๆๆๆ ไปแล้วถ้ามันติดล่ะ มันได้มาไปก็เป็นประโยชน์เห็นไหม ถ้ามันไม่ได้มา พุทโธๆๆ เดี๋ยวจิตก็สงบก็ได้มา จิตไม่สงบก็อด ถ้าไม่สงบเดี๋ยวก็หาใหม่ นี่มันก็ได้ของมันมาใช่ไหม

พุทโธนี่ไม่มีประโยชน์เลย พุทโธนี่ใช้ไม่ได้

การไปดักสัตว์ การไปล่าสัตว์มันก็มีได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นธรรมดา สัตว์จะให้เราจับหรือ กิเลสมันอยู่ในใจของเรา กิเลสมันก็ข่มขี่เรามาตลอดเวลา กว่าเราจะพุทโธๆ เพื่อให้จิตเราสงบได้บ้าง มันจะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา พอไม่ได้ขึ้นมาก็บอกพวกนี้เสียประโยชน์ ไปล่าสัตว์มาไม่ได้อะไรติดมือมาเลยพวกนี้ใช้ไม่ได้ นี่เพราะคนมันไม่รู้จัก นี่อัตโนมัติอย่างนี้ เพราะมันไม่มีอะไรมันถึงบอกว่าอัตโนมัติ

เราพุทโธๆๆ ไปนี่ ไอ้พวกพุทโธนี่นะมันหลงกันทั้งชาติ แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ปฏิบัติล่ะ พุทโธกันไปจนตัวแข็งทื่อ ไอ้ฌาน ๒ ไอ้พวกตัวแข็ง นี่ก็ดูถูกอีก แต่พออัตโนมัติเห็นไหม พอกำหนดนามรูป กำหนดดูกายดูจิตดูไปเรื่อยๆ ดูจนเห็นกายเห็นจิตแล้วมารวมลงอัปปนาสมาธิ พอรวมลงอัปปนาสมาธิแล้วมันจะเกิดกระบวนการของมรรค เขาเทศน์อย่างนี้ตลอด นี่ไง มันเป็นอัตโนมัติ เพราะคำว่าอัตโนมัติมันไม่ที่มาที่ไป แล้วก็บอกว่าพุทโธๆๆ ไอ้พวกไปหาเนื้อสัน ไอ้พวกไปดักสัตว์ พวกนี้หาเลี้ยงชีพพวกนี้โง่ เพราะมันทำให้เสียประโยชน์ นั่งเฉยๆ ชีวิตนี้ไม่ต้องกินอะไรเลย อยู่สบายๆ เป็นอัตโนมัติ

ดูถูกเหยียดหยามดูแคลนเขา แต่เวลาตัวเองทำนี่จะให้มันสมกระบวนการ จิตดูไปดูมามันกลายเป็นฌาน ๔ ฌาน ๒ มันยังตัวแข็งเลย แล้วฌาน ๔ มันไม่ยิ่งกว่าแข็งอีกหรอ อ้าว แล้วพอลงฌาน ๔ ไปแล้วนะ ลงอัปปนาสมาธิ เขาบอกเองลงอัปปนาสมาธิแล้วมันเป็นฌาน ๔ พอฌาน ๔ แล้วจะเกิดกระบวนการของมรรค อ้าว แล้วฌาน ๒ ยังตัวแข็งยังคิดอะไรไม่ได้ แล้วฌาน ๔ มันคิดจะอะไรได้ แล้วฌาน ๔ มันคิดไม่ได้มันเกิดกระบวนการของมรรคขึ้นมาได้อย่างไร ก็อัตโนมัติไง คำว่าอัตโนมัติของเขานี่มันเป็นอัตโนมัติโดยที่นึกเอา คาดเอา หมายเอา อัตโนมัติอย่างนั้น

นี่เขาแย้งมาว่าทำไมหลวงตาพูดอัตโนมัติ นี่ไงบอกว่าเวลาหลวงตาพูดอะไร ไอ้หงบมันเชื่อทุกอย่างเลย เวลาคนอื่นพูดน่ะเถียงทุกคน ถ้าหลวงตาพูดนะสาธุทุกทีเลย คนเป็นพูดนะมันถูกหมด มันมีที่มาที่ไป เพราะกิเลสมันเป็นอัตโนมัติ แต่พอเราสร้างปัญญาของเราจนทันมันแล้ว มันก็เป็นอัตโนมัติสู้กัน แล้วกิเลสมันก็หลบซ่อน คำว่าอัตโนมัติของหลวงตานี่มันมีการกระทำ มันกำลังต่อสู้กันอยู่ด้วยความชำนาญ มันยังไม่จบกระบวนการของมันเลย กระบวนการของมันต้องมรรคสามัคคี ทำการสมุจเฉทปหานฆ่ากิเลส พอกิเลสตายไป มรรคมันจะไปเกิดที่นู่น

แล้วนี่บอกว่ามรรคมันเป็นอัตโนมัติไง ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติคือไม่มีเหตุมีผล แต่คำว่าอัตโนมัติที่มันทำงานจนชำนาญจนคล่องแคล่ว ผลของมันจะมีของมันไปเรื่อยๆ พอสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว จะก้าวสู่มหาสติมหาปัญญา แล้วก็ซึมไปเลย มีการกระทำต่อไปข้างหน้า มรรคสามัคคี สามัคคีอย่างไร โลกธาตุหวั่นไหวจนน้ำตาไหลน้ำตาร่วง ท่านนั่งสลดสังเวชอยู่ที่ดอยธรรมเจดีย์ น้ำตาไหลพราก มันชำระอย่างไร เป็นอัตโนมัติไหม

ถ้าเป็นอัตโนมัติ ตอนที่พระมหาเถระมาถามท่านว่า ขณะที่จิตมันขาดมันขาดอย่างไร ท่านพูดเองเห็นไหมว่าจิตมันเป็นมัธยัสถ์ มันเป็นกลาง ไม่มีสิ่งใดใดเลย มันรวมตัวเข้ามามันทำลายอย่างไร อัตโนมัติไหม ถ้าเป็นอัตโนมัติทำไมเวลาท่านพูดตอบของท่าน ในปัญหาถามตอบของหลวงตาเยอะแยะไปหมดเลย ท่านไม่มีพูดคำว่าอัตโนมัติสักหนหนึ่ง แต่! แต่เวลาเทศน์ขึ้นมานี่นะ คนเราเทศน์มาทั้งชีวิตใช่ไหม มันก็มีแง่มุมไง แง่มุมอันไหนที่เวลาเทศน์แล้วจิตมันสัมผัส มันก็ออกไปตามนั้น แล้วมันก็เป็นประเด็นที่ว่าออกมาเพื่อแก้ไข ธรรมะเป็นนามธรรม แล้วเวลาสร้างเป็นรูปธรรมออกมาเพื่อจะเทศนาว่าการ ให้คนจับต้องแล้วเห็นเป็นมุมมอง เห็นเป็นการกระทำที่เราจะเดินตามได้ เพราะท่านไม่ได้เทศน์อย่างนี้ตายตัว ธรรมะหลวงตาเทศน์กัณฑ์หนึ่งก็ไปอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรซ้ำกันเลย

แต่ของเขานี่อัตโนมัติแล้วอัดเทปเลย เหมือนกัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำไป ซ้ำมา อัตโนมัติตลอด คือมันนึกเอาคาดเอา มันไม่มีตามความเป็นจริง แล้วเวลาพูดไป ก็ไปอ้างสมเด็จพระสังฆราช ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เรื่องฌานกับสมาธิ สมาธิไม่ใช่ฌาน เรื่องขันธ์ ๕ เห็นไหม บอกว่าขันธ์ ๕ เป็นจิต อ้างสมเด็จญาณสังวร เรื่องวิธีสร้างบุญ อ้างพระพรหมคุณาภรณ์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต เรื่องสมาธิ เรื่องวิปัสสนา จิตลงเป็นอัปปนาสมาธิ ไม่ใช่

เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องของปริยัติ อ้างว่าฌานกับสมาธินี้เป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฌานเป็นฌาน สมาธิเป็นสมาธิ ฌาน ๔ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ รูปฌาน อรูปฌาน ฌานส่วนฌาน เพราะฌานอย่างนี้มันมีมาแล้วตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้อีก พวกนี้มันมีอยู่แล้ว นี่มันเป็นเรื่องของโลกไง ฌานโลกีย์เป็นเรื่องของโลกนะ เหมือนกับเรื่องของโลกที่เขามีกันอยู่แล้ว ถ้าเราเอาตรงนี้เป็นพื้นฐาน เหมือนกับตอนนี้นะเหล็กต้นน้ำ เขาต้องการให้เมืองไทยมีเหล็กต้นน้ำมากเพื่ออุตสาหกรรม ทีนี้เหล็กต้นน้ำเราไม่มี เราก็ต้องสั่งเข้าทั้งหมดใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงเหล็กต้นน้ำไม่มี เราต้องสั่งเข้าทั้งหมด เรื่องของฌานสมาบัตินี่มันก็เหมือนกับวัตถุที่มีอยู่แล้ว แต่เหล็กต้นน้ำที่มันยังไม่มี เหล็กต้นน้ำก็คือสัมมาสมาธิไง เพราะเหล็กต้นน้ำมันไม่มี การกระทำของอุตสาหกรรมจะทำได้อย่างไร ก็ต้องสั่งเข้ามาเห็นไหม มันเป็นการลงทุนลงแรงของมันไป แต่ถ้าเรามีเหล็กต้นน้ำปั๊บ เราใช้วัตถุดิบในประเทศของเราทำอุตสาหกรรม

นี่ก็เหมือนกัน จิตเป็นต้นทุนที่ไม่มีสัมมาสมาธิ มันมีฌานสมาบัติ ฌานสมาบัตินี้มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของฌานโลกีย์ มันมีอยู่แล้ว นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ พระพุทธเจ้าไปฝึกมากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไปศึกษามา ๖ ปีเห็นไหม อาฬารดาบสทำมาหมดนะ นี่ไงอยู่ในโลกไง ในโลกมันก็มีวัตถุของมันอยู่แล้วเห็นไหม แต่ตัวเราเองไม่มี

พอพระพุทธเจ้าฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วก็อธิษฐานเลยว่า ถ้านั่งแล้วไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่ลุกไปไหนเลย สุดท้ายแล้วคิดถึงตอนที่เป็นราชกุมาร ตอนที่พ่อพาออกไปพิธีแรกนาขวัญ คิดถึงว่ากำหนดอานาปาสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นสัมมาสมาธิ คิดถึงตรงนั้นได้ เนี่ยเหล็กต้นน้ำ สัมมาสมาธิไม่ใช่เข้าสมาบัติ เข้าสมาบัติเห็นไหมกำหนดพุทโธๆ ให้มันว่างเข้ามา จนเข้าฌานที่ ๑ ที่ ๒ ถึงฌานที่ ๔ พอเข้าฌานที่ ๔ ปั๊บกำหนดอากาศเลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขึ้นเป็นชั้นๆ เข้าไป

พอเข้าฌาน ๔ แล้วเห็นไหม เป็นจตุตถฌาน มันเป็นรูปฌาน แล้วจะทำอย่างไรให้เป็นอรูปฌาน อรูปฌานนี่เราจะบอกว่าเวลาเข้านี่มันเข้าด้วยอะไร เข้าด้วยอารมณ์ความรู้สึกใช่ไหม จิตเกาะอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ ใช่ไหม สิ่งนั้นมันเป็นฌานเป็นสมาบัติ แต่เวลากำหนดลมหายใจเข้ามานี่มาจากไหน นี่ไงถึงว่า พุทโธๆ เจริญอานาปานสติ อย่าตัดรากเหง้า เพราะสิ่งนี้จิตต้องกำหนด จิตต้องรับรู้ พอจิตมันรับรู้จิต มันสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ นี่ไงเหล็กต้นน้ำ

พอมีเหล็กต้นน้ำ พอมันมีสัมมาสมาธิขึ้นมา แล้วมันเข้าไปที่ไหน มันเข้าไปสู่ข้อมูลเดิม ปฐมยาม จิตสงบมันเข้าไปสู่ต้นน้ำ ฌานสมาบัติมันกำหนดพุทโธ กำหนดต่างๆ กำหนดพุทโธๆๆ มันก็ออกมาจากจิตไง แต่กำหนดให้มันเป็นรูปฌาน อรูปฌานนั้นมันกำหนดแสงกำหนดสีใช่ไหม เรื่องกสิณ เรื่องการเพ่ง เพ่งเทียนเพ่งแสง นี่รูปฌาน อรูปฌาน แต่ถ้ากำหนดพุทโธๆ ใจมันนึกออกไป ใจมันกำหนดพุทโธๆ ออกไป พอมันสงบเข้ามามันก็สงบเข้ามาที่ใจ เหล็กต้นน้ำ!

เหล็กต้นน้ำประกอบไปด้วยอะไร ประกอบด้วยกรรมสิ่งต่างๆ ตั้งแต่อดีตชาติ ย้อนตั้งแต่พระเวชสันดรไปเลย เพราะอะไร เพราะมันเข้าไปถึงเหล็กต้นน้ำ เข้าไปถึงฐีติจิต เข้าถึงข้อมูลของจิต มันก็สาวไปถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ คืออดีตชาติ ไม่มีต้นไม่มีปลายสาวไปตลอดเลย เพราะตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นมาสอนพระพุทธเจ้า อย่างที่สอนพระโมคคัลลานะเห็นไหม เธอผิดๆๆ ตอนนั้นไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีใครสอน พระพุทธเจ้าต้องประสบการณ์ของจิตเอง เพราะยังไม่มีใครรู้เลย โลกนี้ยังไม่มีใครรู้ ยังไม่มีใครเป็นเลย

พอเข้าถึงข้อมูลเดิม เข้าถึงเหล็กต้นน้ำ กระบวนการมันมาอย่างไรก็สาวเข้าไป มันก็ไปเจอสิ่งที่ซับซ้อนมา ความซับซ้อนก็คือข้อมูลของจิตเห็นไหม บุพเพนิวาสานุติญาณ ไปถึงแล้วไม่ใช่ ไม่ใช่หมายถึงว่ามันรู้เอง เพราะมันไปเรื่อยๆ จากอย่างนี้จะเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ จากชาตินี้ก็สาวไปถึงชาติต่อไป จากชาติต่อไปก็สาวไปอีก จนถึงชาติปัจจุบันนี้มันมีที่มา แล้วที่มานี่มาจากไหน ก็สาวไปอีก แล้วมันสาวต่อไปไหน จากชาติที่มันพลิกมา จากชาติต่อชาติ จากจิตที่มันตายแล้วเกิด นี้มันกี่ชาติ มันก็พลิกไปเรื่อยๆ แล้วมันจบที่ไหนล่ะ

พอมันไปเรื่อยมันก็ได้สติ ใหม่ๆ ก็ทึ่งนะ ใครเข้าไปให้เห็นจะทึ่งมากเลย อู๊! อู๊! มหัศจรรย์ไง มันไปเรื่อยๆ มันไม่จบ ความมหัศจรรย์ก็เลยเป็นปกติเพราะจิตเรามันเข้าไปสัมผัสแล้ว ทีแรกจะเห็นว่ามหัศจรรย์ แต่พอมหัศจรรย์แล้วมันจะจบที่ไหนวะ มันไม่จบ มหัศจรรย์แต่มันไม่จบ แล้วทำอย่างไร ถึงบอกว่ามันไม่มีต้นไม่มีปลายเห็นไหม สาวกลับมา ดึงกลับมา จุตูปปาตญาณ ดึงกลับมาทำความสงบของใจเข้าไปอีก กำลังมีมากขึ้น มันถึงไม่ใช่ฌาน มันเป็นสมาธิ พอมันมากขึ้น จุตูปปาตญาณออกไปได้อย่างไร มีแรงขับอยู่เพราะมันมีกำลังของมัน ทีนี้แรงขับมันจะไปตกที่ไหน มันก็เหมือนกับบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือสิ่งที่เป็นมาแล้ว มันไม่มีวันจบ แต่สิ่งที่ไปเป็นอนาคตมันไม่ไปอีก แล้วมันก็กลับมาเป็นปัจจุบัน

มันไม่ใช่ฌาน ฌานอย่างที่ฤๅษีชีไพรเขาระลึกอดีตชาติได้ กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ เขาก็ระลึกได้เหมือนกัน มันก็เหมือนเหล็กต้นน้ำเหมือนกัน แต่! เพราะยังไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้า ยังไม่มีอริยสัจไง ไม่มี มันเป็นธรรมชาติใช่ไหม อย่างเช่นอุตสาหกรรมในประเทศไทย ตอนนี้เรายังไม่มีเหล็กต้นน้ำ เราก็ประกอบอุตสาหกรรมได้ เพราะเราสั่งได้ ทุกอย่างทำได้ เพราะมันเป็นเรื่องโลก เราอาศัยเกื้อกูลกันในโลกนี้ได้

ฤๅษีชีไพรไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด ฤๅษีชีไพรทำไมระลึกอดีตชาติได้เหมือนกัน นี่ไงเราจะบอกว่า จิตคือจิตไง วัตถุสิ่งที่มีประจำโลกก็คือสิ่งที่มีประจำโลก เป็นธรรมชาติของมัน แต่สิ่งที่จะเข้าไปทำลายมันอยู่ที่ไหน นี่ไงคำว่าฌาน หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์เราไม่เคยสอนเรื่องฌานเลย พระป่าไม่มีที่ไหนสอนเรื่องฌาน พระป่ามีแต่สอนเรื่องทำความสงบของใจ พระป่าตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ทุกองค์ ไม่มีองค์ไหนสอนเรื่องฌานสมาบัติเลย ไม่มี

จะมีก็แต่ว่าครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่น หลวงตาท่านพูดบ่อย พูดถึงหลวงปู่ลีวัดอโศการาม หลวงปู่ฝั้น ผู้ที่จิตมีบารมี จิตมีกำลังมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นคำว่าเรื่องฌานสมาบัตินี่ ผู้ที่ปฏิบัติไปแล้วจะไปทดสอบ อย่างเทคโนโลยีมันมีทั่วไปในโลกนี้ ใครจะศึกษาเรื่องอะไรมันก็ทำได้ใช่ไหม อย่างเช่นเราทำงานเสร็จแล้ว อย่างเราสร้างบ้าน เราอยากมีอะไรล่ะ เราอยากมีกล้วยไม้เราอยากมีสวนหน้าบ้าน ไอ้คนนี้ไม่ชอบ สร้างบ้านแล้วอยากจะไปสร้างสวนบนหลังคา นี่ไง มันอยู่ที่อุดมการณ์ อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน บ้านของใครบ้านของมัน

ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านชอบสิ่งใด ไอ้เรื่องฌานสมาธิมันเป็นเครื่องเล่น เป็นของเล่นของครูบาอาจารย์เราที่ท่านเป็นแล้วท่านทำได้ มันเป็นของเล่น ไม่ได้เป็นของจริงหรอก เพราะของจริง สัมมาสมาธิในมรรค ๘ สัมมาฌานไม่มี เพียงแต่เวลาเราปฏิบัติ เวลาเราคุยกับลูกศิษย์ลูกหา ฌานสมาธินี่แทนกันได้ คำว่าแทนกันได้คือเหมือนกับ ของโลกกับธรรม มันเหมือนกัน ร่างกายกับจิตใจ คิดดีและชั่ว มันแค่เปลี่ยนเอง เหรียญมี ๒ ด้าน ดีกับชั่ว ถ้าตรงกลางก็เป็นเหรียญตั้งไว้

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันก็เป็นตัวตั้งไว้ จะไปทางไหน เพราะมันละเอียด หมายถึงว่าจิตเวลาทำไปมันเป็นอย่างไร ฉะนั้นคำว่าฌาน เราจะพูดบ่อยว่าอย่าเอามาใช้ในวงพระป่า พระป่าไม่ใช้ อย่างเช่นคำว่าจิตส่งออกหรือทำความสงบของใจ นี่เป็นศัพท์ของพระป่า เพราะเขาคุยกันได้ไง นี่กรรมฐานเห็นไหม ฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี่พระป่าพระกรรมฐาน พระกรรมฐานต้องสัมมาสมาธิ ต้องเข้าไปถึงฐีติจิต นี่ฐานของที่ตั้งแห่งการงาน กรรมฐานคือฐานที่ตั้งแห่งการงาน คือบัญชี คือต้นขั้ว คือฐีติจิต คือถิ่นกำเนิดของกิเลสและของธรรม ถ้าเข้าไปถึงถิ่นกำเนิดของกิเลสและของธรรม มันจะเข้าไปทำลายกิเลส และธรรมจะเกิดลงที่นั่น ฉะนั้นสิ่งนี้ถึงเป็นธรรมของพระป่า

ทีนี้ไอ้พวกลูกครึ่งนะ ไอ้พวกธรรมะนึกเอา มันก็นึกเอาใช่ไหม พอนึกเอาแล้วไม่มีทางไป ก็ไปเอาของหลวงตามาว่า หลวงตาก็ปัญญาอัตโนมัติเหมือนกัน คำพูดของคนที่พูดมาทั้งชีวิต มันก็มีสิ่งเปรียบเทียบหลากหลาย แต่ท่านไม่ได้พูดเป็นประเด็นหลักตายตัวว่ามันจะเป็นอัตโนมัติ แต่ของเขานี่เขาพูดเป็นอัตโนมัติโดยหลักตายตัว แล้วที่มาเสริมว่าทำไมถึงเป็นอัตโนมัติและทำไมถึงไม่เป็นอัตโนมัตินี้ ก็พูดไม่ถูกอีก ถูกของคนไม่เป็นนะถูก แต่คนเป็นพูดไม่ถูก

๒.เดี๋ยวก่อนนะ ต้องย้อนกลับไปบุพเพนิวาสานุสติญาณก่อน แล้วกลับมาจุตูปปาตญาณใช่ไหม เพราะเรื่องของฌานกับสมาธิ

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่มีธรรม ก็เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณนี่ไง จิตมันก็เหมือนกับคนทุกคนต้องทดสอบสิ่งที่หัวใจมีอยู่ ก็ทดสอบว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง พอทดสอบแล้วว่าเป็นข้อมูล มันก็เป็นอดีต ถ้าเป็นกิเลส มันมีแรงขับมันก็เป็นอนาคต เพราะมันขับจิตให้เป็นไป วางจิตให้เป็นกลาง พอวางจิตให้เป็นกลางสิ่งที่เกิดระหว่างข้อมูลอดีตกับแรงขับอันนี้ มันตั้งอยู่บนอะไร มันมาจากไหนเห็นไหม นี่ไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ตั้งมาจากบนภพ บนภวาสวะ บนจิต ที่บอกว่าสัมมาสมาธิมันเข้าถึงฐีติจิตที่จะไปแก้กิเลสกันนี่

แต่ถ้าเป็นฌาน ฌานเป็นอารมณ์ของจิต ฌานมันออกไปข้างนอก แต่ตัวจิตตัวสมาธินี้เป็นตัวของมันเอง สิ่งนี้มันตั้งอยู่บนอะไร มันตั้งอยู่บนภพ ตั้งอยู่บนจิตนี้ มันก็ย้อนกลับเข้ามาทำลายตัวมันเอง อาสวักขยญาณเห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายตัวมันเอง มันเป็นอัตโนมัติที่ไหน ? มันเป็นอัตโนมัติตรงไหน ? มันไม่เป็นอัตโนมัติเลย ถ้าเป็นอัตโนมัติ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องทำกระบวนการขนาดนี้ เวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนี้พระล้อมรอบหมดเลย จนท่านนิ่งสงบของท่านอยู่ พระอุบาลีขึ้นมาว่า พระพุทธเจ้าไม่ปรินิพพานไปแล้วหรือ พระอนุรุธทะ ผู้ได้เลิศทางรู้วาระจิต ไม่ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ปรินิพพาน พระพุทธเจ้ากำลังเข้า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เข้าสมาบัติ ๘ แล้วระหว่างรูปฌาน อรูปฌาน พระพุทธเจ้าปรินิพพานระหว่างกลางนั้น

นี่ไงสมาบัติกับหัวใจที่เป็นธรรม มันคนละเรื่องกันเห็นไหม สมาบัติมันเป็นอารมณ์ของใจ สมาบัตินี้มันเหมือนเทคโนโลยี มันเหมือนเทคนิคอันหนึ่งที่มันมีอยู่แล้วในโลกนี้ อย่างสูตรทฤษฎีที่มันมีอยู่แล้วนี้มันก็มีของมัน ถ้าไม่มีใครมาทำให้ทฤษฎีนั้นแสดงตัวออกมา มันก็ไม่มี พอจิตของพระพุทธเจ้าเข้า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน นี่พระอนุรุทธะมองเห็นตรงนี้ไง มันถึงไม่เกี่ยวกันเลย แล้วถ้าสัมมาสมาธิล่ะ สัมมาสมาธิก็ไม่เกี่ยว เพราะสัมมาสมาธินี้มันอยู่ในมรรค ๘ มันก็เหมือนเนื้อสันนั้น แล้วเนื้อสันจะกินได้อย่างไร จะกินได้ก็ต่อเมื่อมาย่าง ต้ม แกง ย่างต้มแกงนั่นคือเทคนิค นั่นคือเทคโนโลยีไง นี่ไงกิริยาของใจ ใจที่มีการกระทำเห็นไหม

เนื้อนั้นมาย่าง มาต้ม มาแกง การย่างต้มแกงนั้นคือวิธีการ คือการกระทำ สัมมาสมาธินี้มันเป็นมรรค ๘ มรรค ๘ นี้มันก็เป็นอริยสัจ เป็นสัจธรรมที่เข้าไปย่อยสลาย เข้าไปทำให้เนื้อสัตว์นั้นเอาไปต้มไปแกงเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน อริยสัจ มรรค ๘ เข้าไปย่อยสลายกิเลสในหัวใจ จิตนี่กลั่นออกมาจากอริยสัจ จากโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ไปถึงที่สุดแล้วทำลายจิตทั้งหมด นี่มันมีกระบวนการของมัน มันไม่มีอัตโนมัติหรอก! อัตโนมัติมันขี้จุ๊ อัตโนมัติของมึงมันขึ้จุ๊ ไม่มี!!

แล้วทำไมหลวงตาเป็นปัญญาอัตโนมัติล่ะ อัตโนมัติอย่างนี้ท่านอธิบายถึงวิธีการกระทำให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นหลักยึด ท่านพูดของท่านเห็นไหม เคยได้ยินใครพูดอย่างนี้บ้างไหม “ในโลกนี้เราไม่เคยเห็นใครพูด ถ้าไม่ใช่หลวงตาผีบ้าองค์เดียวนี้พูดว่า กิเลสนี้ทำงานบนหัวใจของสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ” เห็นไหม ไม่เคยมีใครพูด ถ้าไม่ใช่หลวงตาผีบ้าองค์นี้ ใครพูด นี่คำพูดหลวงตานะ เราไม่ได้จาบจวงนะ นี่คำพูดหลวงตาเขาเอามาอ้าง “ถ้าไม่ใช่หลวงตาผีบ้าองค์นี้พูดว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติ เพื่อหาประโยชน์ของตน แล้วสร้างเวรสร้างกรรม ความทุกข์ลำบากในบรรดาสัตว์โลกตลอดมานี้ เรียกว่าเขาทำงานเป็นอัตโนมัติของเขา ของกิเลส”

กิเลสมันทำงานเป็นอัตโนมัติ แล้วถ้ามรรคเป็นอัตโนมัติ กับกิเลสที่เป็นอัตโนมัติ อันเดียวกันหรือเปล่า ถ้ากิเลสเป็นอัตโนมัตินะ แล้วมรรคที่เป็นอัตโนมัติ กิเลสมันก็เอาอัตโนมัติมากินสบายเลย ก็กลายเป็นกิเลสไปไง อัตโนมัติก็เป็นกิเลสไปด้วย เพราะกิเลสก็เป็นอัตโนมัติ ธรรมะก็เป็นอัตโนมัตินี่มันก็เป็นอันเดียวกัน มันก็เลยกลายเป็นกิเลสไปเลย

แต่นี่เป็นอัตโนมัติเพราะเป็นกิริยาเฉยๆ ท่านเปรียบเทียบกิริยาที่มีความชำนาญเป็นอัตโนมัติ แต่ท่านยังมีหลักการ มีอริยสัจที่จะมุ่งเข้าไปทำลายกิเลสมากกว่านี้อีก อันนี้ท่านพูดเป็นบันได เป็นทางก้าวเดินให้กับพวกเรามีทางเดินนะ ท่านถากท่านถางทางให้เราเดิน ถ้ามึงเดินไม่เป็นมึงก็เดินลงนรก! มึงก็เดินลงไปนรก ว่าเป็นอัตโนมัติ

แต่ถ้าคนเดินเป็นนะ บันไดที่หลวงตาทำให้ก้าวเดินนะ เราเดินแล้วเราหัดเราจะทำของเราได้ นี่เขาถึงมั่นใจว่าของเขาสรุปลงเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติก็คือกิเลส เพราะกิเลสก็เป็นอัตโนมัติ ไม่มี! มรรคที่เป็นอัตโนมัติ เกิดโดยอัตโนมัติไม่มี เพียงแต่เวลาจิตมันหมุนไปแล้ว มันเป็นความจริงของมัน ปัญญาที่เป็นอัตโนมัติ มันเป็นไม่ได้สักอย่างหนึ่ง

เอาเรื่องของฌานว่า “รู้จักไหมจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์น่ะรู้จักไหม” เขาถามนะ แม้แต่อ้าปากพูดนะมันเป็นสมมุติหมด ถ้าเป็นสมมุตินะ นิพพานเห็นไหม นิพพานสงบเย็น ถ้าพูดถึงมีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วควายนะมันนอนแช่น้ำอยู่มันเป็นนิพพานไหม มันก็สงบเย็นของมันนะ จิตมีนิพพานเป็นอารมณ์

นี้ของเขานะ “อนึ่งพระองค์ตรัส ทุกขเวทนาเป็นต้นที่สักแต่ว่าเป็นสุข เป็นของเที่ยง เป็นตัวตน พระองค์ตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา สัตว์ทั้งหลายมีความสำคัญผิด” จิตเป็นธรรมชาติ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา นี้ท่านพูดกับใคร

อย่างเช่น เราปฏิบัติใหม่นี่ถ้าเราไม่ตั้งสติกันเลย เราไม่เริ่มต้นกันเลย แล้วเราจะปฏิบัติได้ไหม ธรรมะเวลาพูดหยาบๆ เขาจะบอกว่าจิตที่เป็นธรรมชาติ การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติ ก็เตือนพวกเราให้รู้จักจิต ให้รู้จักตัวเอง แล้วจะบอกว่าจิตเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าจิตเป็นธรรมชาติ เกิดมาเราก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว ก็จิตเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เขาจะอ้างว่า

เพราะเขาบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ

เราบอกธรรมชาติคือวัฏฏะ ธรรมะเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติตรงที่ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมมันเป็นธรรมชาติของมัน เวลาหลวงตาท่านพูดเห็นไหม เวลาปฏิบัติอยู่นี่เข้มข้นมาก อย่างนี้ถูกต้องหมดเลย แต่พอปฏิบัติผ่านไปแล้วก็บ้าตัวหนึ่ง บ้าตัวหนึ่งเห็นไหม นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา เราทำให้เป็นสภาวะอนัตตา เหมือนน้ำเดือดเลย น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย น้ำร้อนปลาเป็นเห็นไหม เรามีการกระทำนี่น้ำร้อน เราก็ต้องพยายามขวนขวายเอาตัวรอด น้ำเย็นปลาตาย ธรรมะเป็นธรรมชาติ น้ำเย็นโอ้ยสบาย เป็นธรรมชาตินะ ก็รอกินเบ็ดเขาไง แต่ถ้าน้ำร้อนปลาเป็นเห็นไหม มันพยายามดิ้นรนของมัน การดิ้นรนเพื่อจะเอาตัวรอดของมัน มันถึงจะเอาตัวรอดได้

นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ให้มันสำนึกถึงตัว ถ้าสำนึกถึงตัวมันก็พยายามเอาตัวรอด ถ้าเอาตัวรอดไปแล้วนะ มันเหนือธรรมชาติ มันไม่กลับมาเป็นธรรมชาติหรอก ไม่กลับมา ธรรมะเป็นธรรมชาตินี่เขาเอาไว้สอนเด็กๆ เอาไว้บอกให้เด็กๆ มันมีสามัญสำนึก เริ่มต้นขึ้นมานี่เราจะเอาอะไรมาเป็นที่เกาะที่ยึดกัน เริ่มต้นไม่มีอะไรเกาะยึดเลย ธรรมะเป็นนามธรรม ธรรมะเป็นความว่าง ว่างกันหมดแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง โอ้ยนี่เป็นพระอรหันต์หมดเลย ไม่มีใครยึดติดอะไรเลย นั่งอยู่นี่ปล่อยวางหมดเลย ของที่บ้านก็ไม่ยึดติด โอ้โฮ เป็นพระอรหันต์หมดเลย

พระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ แต่คำพูดของพระพุทธเจ้าท่านก็มีที่มาที่ไปให้เราเริ่มต้น นี่ก็เหมือนกัน จิตเป็นธรรมชาติ เราเกิดมาโดยสัจธรรม นี่ก็บอกให้เราสำนึกตัว ไม่ใช่ว่าจิตเป็นธรรมชาติ เออเป็นธรรมชาติแล้วก็เป็นพระอรหันต์เลย อ้าว ก็เป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ รู้สามัญลักษณะมันจะรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญา โดยกระบวนการของมรรคมันจะเกิดเอง เขาพูดอย่างนี้นะ ย้ำแล้วย้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เยอะแยะไปหมดเลย เทศน์สองวันมานี้ ที่เอามาให้ดูก็ยังลงอัปปนาสมาธิอยู่เหมือนเดิม

เราจะพูดอยู่คำหนึ่ง เวลาพูดถึงว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดไม่ถูกนะ ไม่เห็นเจ้าตัวพูดเลยนะ คนที่พูดถูกพูดผิดนะ ควรออกมาพูดว่าถูกหรือผิดบ้าง อย่าใช้แต่ลิ่วล้อออกมาพูด ใช้แต่คนอื่นออกมาพูดแทน ไอ้คนที่มาพูดมันไม่ได้พูดสักคำ มันไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด เพราะไม่ได้เป็นคนทำ ไอ้คนทำนี่นะไม่ออกมาพูดเลยว่าตัวเองได้ทำหรือเปล่า ไอ้คนที่ออกมาพูดคือทนายแก้ต่างทั้งนั้นเลย เขาไม่ได้ทำเขาไม่รู้

ไอ้คนที่บอกว่าอัปปนาสมาธินี่มันจะเกิดกระบวนการของจิตที่เป็นเอง แล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ออกมาพูดสักคำสิว่าอัตโนมัติมันเป็นอย่างใด จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นเถียงกันอยู่นี่ ไอ้คนที่มันพูดว่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ละกิเลสเป็นอัตโนมัติ ดูกายดูจิตจนสามัญลักษณะเกิดแล้ว มันลงอัปปนาสมาธิ กระบวนการของมรรคมันจะเกิด มันเกิดอย่างไร บอกให้ฟังหน่อยซิ ไอ้ขี้จุ๊!

พูดซะหน่อย เวลาเทศน์สอนคนอื่นน่ะสอนเขา เวลาเขาถามว่ามันเป็นอย่างไร “มันเป็นอัตโนมัติ” แล้วเป็นอัตโนมัติเพราะว่าหลวงตาพูดว่าอัตโนมัติ เพราะพระไตรปิฎกพูดว่าเป็นอัตโนมัติ ในพระไตรปิฎกไม่มีเลยนะ

แต่ที่หลวงตาพูดเห็นไหม ธรรมะเหมือนใบไม้ในกำมือ ธรรมะที่แท้จริงเหมือนใบไม้ในป่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านแท้จริง ท่านรู้ของท่านจริง เพราะท่านมีประสบการณ์ของท่านมาเอง ทำไมท่านจะเปรียบเทียบเป็นบุคลาธิษฐาน เป็นตัวอย่าง เป็นกิริยา เป็นการบอกว่ากิริยามันเป็นอย่างนี้ ถ้าใครทำมาจะเจอประสบการณ์อย่างนี้ หลวงตาท่านท้าประจำ เวลาท่านเทศน์สอนพระ “จำคำที่ผมพูดไว้นะ แล้วถ้าผมตายไปจะมากราบศพนะ” ไอ้พวกที่คัดค้าน ถ้าใครเข้ามาเจอตามความเป็นจริง แล้วจะมากราบศพ เพราะท่านเองท่านประสบการณ์ของท่าน ท่านไปกราบศพหลวงปู่มั่น ไปขอขมาแล้วขอขมาอีก ไอ้คนถ้าไปถึงจุดนั้นแล้วนะ จะมากราบศพ นั่นนะเวลาท่านพูดของท่านเห็นไหม ท่านยืนยันของท่าน

นี่ก็เหมือนกัน ตัวเองก็บอกอัตโนมัติ แต่ไม่พูดเลยว่ามันเป็นอัตโนมัติอย่างไร มาอ้างว่าหลวงตาพูดว่ามันเป็นอัตโนมัติ พิจารณาโลกให้เป็นความวางเปล่าที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖

นี่เอ็งทำผิดนะ แต่เอ็งไปอ้างผลของคนอื่นนะ เงินทองของหลวงตาท่านหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงนะ มึงเดินไปตามถนน เงินทองตกหล่นเต็มหมดเลย แล้วเก็บเอาๆ แล้วบอกว่าเงินทองที่เอ็งเก็บเอาตามถนน กับเงินทองของหลวงตาที่ท่านหาของท่านมา แล้วเอ็งมาอ้างว่าเงินนี้ก็เงินเหมือนหลวงตา เงินของหลวงตาท่านหามาด้วยความสุจริต ความชอบธรรม เงินของเอ็ง มรรคผลของเอ็ง เดินเก็บเอาตามถนนหนทาง มันมีต้นไม้ต้นใดบ้างที่มันออกดอกออกผลเป็นแบงก์ แล้วให้พวกนี้ไปเก็บ ที่ไหนมันมีบ้าง มันไม่มี!

แต่เวลาอ้างก็อ้างถึงผลงาน อ้างถึงการกระทำของหลวงตา แล้วหลวงตาท่านเคยสอนดูจิตไหม หลวงตาท่านก็สอนพุทโธทั้งนั้นน่ะ เวลาเอ็งเหยียบย่ำนะเอ็งเหยียบย่ำถึงพวกพุทโธ ว่าคนพุทโธนี้ตัวแข็ง พุทโธนี่เป็นฌาน ๒ พุทโธนี้เป็นสมถะ พุทโธนี้ไม่มีปัญญา พุทโธนี้เมื่อไหร่จะได้วิปัสสนา เวลาเอ็งเหยียบย่ำ เหยียบย่ำตั้งแต่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นที่สอนพุทโธมาตลอด แล้วเวลาเอ็งจะอ้างอิง เอ็งก็อ้างอิงไอ้พวกพุทโธที่เอ็งเหยียบย่ำมานั่นน่ะ เวลาเอ็งเหยียบย่ำเอ็งเหยียบย่ำไปหมดเลย แล้วเวลาเอ็งอ้าง เอ็งก็อ้างที่เอ็งเหยียบย่ำขึ้นมานั้นมาอ้าง

แล้วเอ็งบอกว่าเอ็งทำขึ้นมาเป็นประโยชน์ของเอ็งขึ้นมา ปัญญาตัดกิเลสเป็นอัตโนมัติ แล้วทำไมมึงไม่บอกล่ะว่าอัตโนมัติเป็นอย่างไรล่ะ ทำไมต้องเอาหลวงตามาอ้าง เอ็งอ้างหลวงตาทำไม เนี่ยอ้างหลวงตา อ้างสมเด็จญาณฯ อ้างประยุทธ์ ปยุตฺโต แล้วคนพูดมันอยู่ไหนวะ คนพูดอยู่ไหน!! มันหายหัวไปไหน เวลาพูดน่ะตัวเองพูด เวลาจะอ้างก็อ้างหลวงตา อ้างสมเด็จญาณฯ อ้างประยุทธ์ แล้วเวลามึงเหยียบย่ำเขาก็เหยียบย่ำเขา

ที่ว่าปัญญาอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติคือไม่มี แต่ปัญญาอัตโนมัติของหลวงตาเราอธิบายแล้ว วันนี้เราอธิบายให้ฟัง แล้วเดี๋ยวเขาจะไปแกะเทป แล้วจะไปออกในเว็บไซต์

เวลาเขาจุดไฟเผาบ้าน เขาจุดแต่เขาไม่พูด แล้วเรามาดับไฟ แต่ใครจะเบื่อว่าเราพูดซ้ำซาก ถ้าเขาไม่เอามาประจานกันอย่างนี้ เราก็จะไม่พูด แต่เพราะเขาเอาหลวงตามาเป็นหน้าฉาก เวลาเขาทำเขาหาผลประโยชน์กัน เวลาภัยมาถึงตัวนี่เอาหลวงตามาบังหน้าเลย เอาหลวงตามาเป็นตัวประกันไง รับไม่ได้! มึงทำดีทำชั่วกัน มึงก็พูดของมึง มึงก็ทำของมึงสิ เวลามึงทำความชั่วกันก็มึงทำ แต่เวลาเขาจะจับก็เอาหลวงตาไปเป็นตัวประกัน เอาหลวงตามาบังหน้า ทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้!

ใช่! ปัญญาอัตโนมัตินี่เราบอกเองว่าคือไม่มี แล้วจะเอาหลวงตามาบังนี่นึกว่าเราจะหลบ ไม่มีทาง! ของหลวงตาท่านเป็นส่วนหนึ่งในธรรมะ ไม่ใช่สรุป ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ของมึง มึงบอกว่าปัญญาฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ คือสรุป คือจบ มันคนละเรื่องกัน มันไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความจริง

ฉะนั้นเวลาตัวเองทำชั่วแล้ว อย่าไปอ้างอิงคนอื่นมาบังหน้า เวลาทำชั่วตัวเองทำ แต่พอความชั่วไปถึงตัวแล้วไม่กล้ารับ เอาใครมาบังหน้า เอวัง